
สวัสดีครับ น้องบีนะครับ สุทธิพงษ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา ก็ได้มีโอกาสใช้ชีวิตอยู่กับเจ้า KIA EV5 เป็นระยะเวลาประมาณนึง เลยอยากจะมาเล่าให้ทุกท่านได้ฟังกันครับว่าประสบการณ์ใช้งานเป็นอย่างไร
ขออนุญาตไล่สเปคก่อนสักเล็กน้อยนะครับ รุ่นที่ได้มาขับ ก็จะเป็น รุ่น GT-Line AWD ครับ ราคาค่าตัวอยู่ที่ 1,899,000 บาท จะเป็นรุ่นท็อปที่เขาเสริมเข้ามานะครับ เรียกได้ว่าท็อปเหนือท็อป ราคาก็จะแพงกว่ารุ่น Earth Exclusive AWD อยู่ 100,000 บาท สิ่งที่แตกต่าง จากรุ่น Earth Exclusive AWD ได้แก่
- กระจังหน้าดีไซน์สปอร์ตทรงสี่เหลี่ยม
- กันชนหน้าและหลังสีเดียวกับตัวรถ
- ไฟ LED บริเวณกระจังหน้า
- ไฟเลี้ยวด้านหน้าและหลังแบบ Sequential
- กระจกมองข้างสีดำเงา
- หลังคาดำ 2 Tone
- ขอบกระจกตกแต่งสีดำเงา
- ล้ออัลลอย ขอบ 20 พร้อมยางขนาด 255/45R20
- ชายขอบประตูล่างสีเดียวกับตัวรถ
- สปอยเลอร์สีดำ
- กรอบป้ายทะเบียนทรงสี่เหลี่ยม
- โลโก้ GT-line บริเวณด้านท้าย
- ภายในสีทูโทน
- พวงมาลัยสามก้านสีทูโทน
- แป้นเหยียบโลหะ
- กรอบช่องแอร์สีเงิน
- กาบบันไดพร้อมโลโก้ GT-Line
- หัวหมอนปักโลโก้ GT-Line
สีตัวถังมีให้เลือก 2 สี ได้แก่
- สีขาวหลังคาดำ Snow White Pearl & Black Roof
- สีเงินหลังคาดำ Ivory Silver & Black Roof
ตัวรถมาพร้อมระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Dual-Motor พละกำลังรวม 308 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 6.3 วินาที มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 88.1 กิโลวัตต์ชั่วโมง ให้ระยะทางการวิ่งสูงสุด 475 กิโลเมตร อ้างอิงตามมาตรฐาน WLTP รองรับการชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับ AC สูงสุด 11 kW และ กระแสตรง DC สูงสุด 141 kW รองรับฟังก์ชั่น V2L
ไล่สเปคเสร็จแล้วก็จะขอเล่าประสบการณ์การใช้งานเลยนะครับ ส่วนตัวผมค่อนข้างชอบดีไซน์รถไฟฟ้าของ KIA ไม่ว่าจะเป็น EV5 หรือรุ่นพี่อย่าง EV9 ผมว่ามันดูมีความเป็นเอกลักษณ์ ขับแล้วรู้สึกว่าตัวเองแตกต่าง และยิ่งพอเป็นรุ่น GT-Line แล้ว มันยิ่งดูดุดัน ถูกใจผมมากขึ้นไปอีก สำหรับเจ้า EV5 เนี่ย เขาก็จะมาในแนวรถครอบครัว ถ้างั้นผมก็พาคุณพ่อกับคุณแม่ผมเดินทางด้วยเลยละกัน!
สำหรับคนที่มีพื้นที่จอดจำกัด จะจอดได้ไหม?
หลังรับรถมาแล้วก็เอามาจอดไว้ที่บ้านก่อนเลย พอจอดปุ๊ป สิ่งแรกที่เจอเลยก็คือ หน้ารถยื่นออกไปข้างหน้าบ้าน แต่ยังอยู่ในบริเวณบ้านผมนะครับ กล่าวคือเลยประตูรั้วออกไปนิดเดียวแต่ไม่ถึงถนนของหมู่บ้าน ต้องเล่าก่อนว่าผมต้องจอดซ้อนคันไว้ข้างหน้ารถของที่บ้านผม ซึ่งก็คือ CR-V เจน 5 และเป็นการจอดแบบที่รถทั้งสองคันจะสามารถเปิดฝาท้ายและคนสามารถเดินมาหยิบของได้อย่างเต็มที่ ซึ่งถ้าหากที่บ้านใครมีรถอีกคันที่เป็นรถยาวๆอย่าง รถกระบะ รถเก๋ง D segment หรือพวก PPV ก็อาจจะต้องพิจารณากันหน่อยนะครับว่าถ้าซื้อคันนี้ไปแล้วจะสามารถจอดด้วยกันได้ไหม
เป็นผู้โดยสารแล้วชอบไหม?
ถึงเวลาออกเดินทาง เส้นทางจาก นนทบุรี-หนองจอก อาจจะเป็นเส้นทางที่ไม่ได้ไกลมากแต่ก็พอจะทำให้เรารู้ถึงอาการของตัวรถและความสบายในการเดินทาง รวมถึงออพชั่นความสะดวกสบายภายในห้องโดยสารที่จะได้มาใช้กัน สภาพการจราจรที่เจอก็จะมีหลายรูปแบบทั้ง รถติดบ้าง ถนนขรุขระบ้าง ทางโค้ง รอยต่อคอสะพานต่างๆนานา แม้กระทั่งทางลูกรัง คุณพ่อที่นั่งด้านหน้าและคุณแม่ที่นั่งเบาะหลังให้ความเห็นว่า ห้องโดยสารให้ความรู้สึก “กว้างขวางกว่ารถ CR-V ที่ใช้อยู่บ้าน” โดยเฉพาะ Headroom ที่มีเหลือเฟือ เบาะนั่งมีความนุ่มนวลในระดับหนึ่ง แต่เมื่อผ่านรอยต่อสะพานที่ลึกหรือแรงกระแทกมากๆ ยังรู้สึกถึงแรงกระทั้นส่งขึ้นมาในห้องโดยสาร ซึ่งอาจเป็นจุดที่ต้องพิจารณาสำหรับผู้โดยสารสูงวัยหรือผู้ที่เน้นความนุ่มนวลขณะเดินทาง ผมสูง 186 เซนติเมตร เรียกได้ว่าขาค่อนข้างยาว แต่พอได้มานั่งเบาะหลังของ KIA EV5 ก็ต้องบอกว่า ไม่เจอปัญหาเลย ทั้งพื้นที่วางขาและ Headroom มีเหลือให้ใช้แบบสบาย ๆ เบาะหลังยังสามารถปรับเอนได้หลายองศา ไม่ได้ล็อกแค่สองสามระดับ แต่เป็นแบบเลือกองศาเองได้ ปรับแล้วปล่อยมือ ตัวเบาะจะล็อกเข้าที่ให้อัตโนมัติ
ขับขี่แล้วเป็นยังไง?
ขอเล่าในมุมของผมที่เป็นคนขับบ้างครับหลังจากได้ขับทั้งในชีวิตประจำวันและพาครอบครัวเดินทาง รวมระยะทางราว 200 กิโลเมตร ตัวรถให้ฟีลลิ่งที่เวลาขับแล้วรู้สึกว่าตัวรถมีน้ำหนัก โดยเฉพาะเวลาเปลี่ยนเลนหรือช่วงที่รถมีการทิ้งตัวเวลาผ่านเนินสะพาน จะรู้สึกว่าหน่วงเหมือนรถไม่ไปเป็นก้อนเดียว การเข้าโค้ง ซึ่งแม้จะใช้ความเร็วไม่สูง ก็ยังสัมผัสได้ถึงแรงเหวี่ยงพอสมควร บวกกับอาการกระทั้นเวลาผ่านถนนที่รอยต่อใหญ่หน่อย มันก็ทำให้ผู้นั่งโดยสารนั่งไม่สบายหรือมีอาการวิงเวียนได้ ซึ่งตรงนี้ก็ถือเป็นจุดข้อสังเกต แต่ต้องชมในเรื่องของฟีลลิ่งพวงมาลัย ทั้งในเรื่องวัสดุ จับแล้วให้ความรู้สึกที่กระชับมือและพรีเมี่ยม ถึงแม้พวงมาลัยจะมีการตัดขอบบนทำให้มันคล้ายทรงหกเหลี่ยมแต่ว่าตรงช่วงมุมมีการลบเหลี่ยมมุม ทำให้ไม่รู้สึกว่ามันเป็นเหลื่ยมและยังมีความโค้งอยู่ ส่งผลให้เวลาที่เราหมุนพวงมาลัยสองมือหรือเวลาคืนพวงมาลัยนั้น ทำได้ราบรื่นกว่าแบบที่เป็นเหลี่ยมสันชัดเจน และน้ำหนัก ในการขับขี่ย่านความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. น้ำหนักพวงมาลัยค่อนข้างที่จะเบา ทำให้ขับขี่ง่าย แต่ถ้าหากความเร็วสูงขึ้นมาในช่วงที่เกินกฎหมายกำหนดพวงมาลัยจะรู้สึกว่าไวไปสักนิด ทำให้เราต้องคอยมานั่งจดจ่อกับมันมากเกินไป ส่งผลให้เดินทางไม่สบายเท่าที่ควร
ถ้าการขับขี่ยังไม่ใช่จุดเด่น แล้วอะไรจะเป็นจุดเด่นกันล่ะ?
หนึ่งจุดที่ต้องชมจริงๆเลย คือเรื่อง การใส่ใจในรายละเอียดของฟังก์ชันใช้งานเล็ก ๆ น้อย ๆ ตัวอย่างเช่น ช่องชาร์จ USB สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ถูกจัดวางไว้ในตำแหน่งที่ไม่ต้องเอื้อมหรือเอนตัวมากเพื่อที่จะเสียบสาย ซึ่งฟังดูเหมือนเรื่องเล็กๆ แต่กลับมีผลต่อความรู้สึกของผู้โดยสารอย่างมาก
คอนโซลกลางวางตำแหน่งไว้ค่อนข้างต่ำ ซึ่งช่วยเพิ่มพื้นที่ช่วงเข่าสำหรับผู้ขับที่ตัวใหญ่ หรือคนที่มีขายาว ลดโอกาสที่หัวเข่าจะไปชนกับตัวคอนโซล ถือเป็นการออกแบบที่คำนึงถึงสรีรศาสตร์ผู้ใช้งานได้ดี ช่อง USB ด้านหน้า สามารถเลือกการทำงานได้ 2 แบบ คือ ใช้เป็นแค่ช่องชาร์จไฟทั่วไป หรือจะเลือกให้เชื่อมต่อกับระบบ Apple CarPlay หรือ Android Auto บนหน้าจอกลางไปด้วยก็ได้ ซึ่งใช้งานง่าย เชื่อมต่อไวและไม่ต้องเข้าเมนูซับซ้อน หากต้องการตัดการเชื่อมต่อในกรณีที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ก็สามารถ กดปุ่มเปลี่ยนได้ทันที โดยไม่ต้องดึงสายออกจากพอร์ต
แผ่นบังแดดสามารถหมุนจากตำแหน่งกระจกหน้ามายังด้านข้างได้ และที่สำคัญคือ สามารถเลื่อนเข้า-ออกเพิ่มเติมได้ ไม่ได้ล็อกอยู่แค่ตำแหน่งเดียว จุดนี้ถือว่า ตอบโจทย์คนที่ขับรถในท่าที่เอนหลังเยอะ (เช่นผมเอง ฮ่าๆ) เพราะเมื่อแดดส่องเข้าจากด้านข้าง ถ้าแผ่นบังแดดเลื่อนไม่ได้ มุมแสงจะพ้นตัวบังไป ทำให้ผู้ขับต้องเอียงศีรษะหนีแสงเอง ซึ่งทั้งรำคาญและอันตราย
แอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลังถูกติดตั้งไว้ที่เสา B ทั้งสองฝั่ง ทำให้สามารถเอื้อมมือไปปรับทิศทางลมได้สะดวก ด้านหลังเบาะผู้โดยสารตอนหน้า มีการติดตั้งโต๊ะพับ จะวางของเบา ๆ หรือใช้เป็นที่รองแท็บเล็ตหรือ Laptop ก็ได้ บริเวณหลังพนักพิงศรีษะยังออกแบบเป็นร่องแขวนกระเป๋า มาให้ด้วย แขวนถุงหรือของจุกจิกได้แบบไม่เกะกะพื้นที่วางเท้า
แผ่นปิดพื้นของห้องเก็บสัมภาระด้านหลังไม่ได้ทำหน้าที่แค่ปิดของให้เรียบร้อยเท่านั้น เพราะสามารถยกขึ้นมาตั้งเป็นโต๊ะได้ในตัว เหมาะสำหรับใครที่ชอบออกทริป ตั้งแคมป์ หรือแม้แต่แค่จอดพักริมทางก็หยิบของขึ้นมาวางกินได้สบาย ๆ นอกจากนี้ ยังมีปลั๊กไฟ AC ติดตั้งไว้บริเวณท้ายรถด้วย เผื่อใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าเล็ก ๆ น้อย ๆ เวลาออกนอกสถานที่ได้
เบาะคู่หน้าสามารถปรับให้นอนราบและนวดติดผ่านการกดปุ่มที่อยู่ข้างเบาะได้ทันที ไม่ต้องคลำหาในจอให้เสียเวลาแม้ว่ารูปแบบการนวดจะต้องเข้าไปตั้งค่าในหน้าจอกลาง แต่แค่มีปุ่มเปิดโหมดนวดไว้ให้กดง่ายๆ เวลาเราจอดพักรอชาร์จไฟ หรือจอดแวะริมทาง ก็ถือว่าสะดวกต่อการใช้งาน
อีกหนึ่งลูกเล่นที่น่าสนใจคือ ตู้เย็นขนาดเล็กที่ติดตั้งอยู่ใต้ที่วางแขนกลางคอนโซลหน้า ซึ่ง KIA เคลมว่าสามารถปรับอุณหภูมิได้ตั้งแต่ เย็นสุด 5°C ไปจนถึงร้อนสุด 55°C จากการใช้งานจริง ต้องบอกว่า มันทำหน้าที่ "รักษาความเย็น" ได้ดีมากกว่าการทำให้น้ำเย็น กล่าวคือ ถ้าคุณนำน้ำแช่เย็นมาเก็บไว้ในนี้ มันจะคงอุณหภูมิเย็นไว้ได้อย่างน่าพอใจ แม้ผ่านเวลาเดินทางไกลหลายชั่วโมง แต่หากคาดหวังว่าจะใส่น้ำที่อุณหภูมิห้องหรือแบบอุ่น ๆ แล้วให้กลายเป็นน้ำเย็นเจี๊ยบอาจจะต้องบอกว่า อย่าคาดหวังมาก เพราะระบบทำความเย็นไม่ได้รวดเร็วหรือทรงพลังถึงขนาดนั้น
นอกจากนี้ ชุดปุ่มควบคุมฟังก์ชันต่างๆ ก็ไม่ได้ถูกโยกไปอยู่ในหน้าจอกลางทั้งหมด ยังคงมีปุ่มลัดที่แยกออกมาบนแผงแดชบอร์ด ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเข้าถึงคำสั่งที่ใช้บ่อยได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องเสียสมาธิหรือละสายตาจากถนน สิ่งเล็กๆเหล่านี้ทำให้ผู้ที่เพิ่งขึ้นมาขับครั้งแรก หรือผู้โดยสารที่ต้องการใช้งานฟีเจอร์พื้นฐานนั้นไม่ต้องเรียนรู้เยอะ ก็สามารถปรับตัวได้ง่ายและใช้งานได้ทันที ซึ่งตรงนี้ผมนับว่าเป็นจุดแข็งอย่างหนึ่งของ KIA ที่อยากให้ทุกท่านได้มาลองสัมผัสเอง
มาดูเรื่องการชาร์จกันบ้างครับ
ในวันที่ผมต้องเดินทาง ผมมีเวลาแค่ 30 นาทีในการแวะเติมไฟ แบตเตอรี่ตอนนั้นเหลืออยู่ราว 25% ระยะทางบนหน้าปัดโชว์อยู่ราวๆ 100 กิโลเมตรนิดๆ ผมตั้งเป้าไว้ในใจว่า "เอาแค่นี้แหละ ได้เท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น" คิดในมุมคนใช้จริง บางครั้งเราอาจไม่มีเวลาให้รถชาร์จนาน ๆ ดังนั้นเวลาครึ่งชั่วโมงนี้แหละ คือบททดสอบ
สถานีที่เลือกใช้คือ EV Station PluZ ซึ่งในช่วงแรกที่เสียบชาร์จ กำลังไฟปล่อยมาแค่ 39.3 kW เพราะมีรถอีกคันใช้งานร่วมด้วย หน้าจอแจ้งว่าใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง 33 นาทีถึงจะเต็ม แต่พอรถอีกคันถอดปลั๊กออก กำลังไฟก็พุ่งขึ้นมาเป็น 78.7 kW ทันที ผ่านไป 30 นาทีพอดี แบตจาก 25% ขึ้นมาเป็น 55% ระยะทางบนหน้าปัดเพิ่มเป็น 237 กิโลเมตร ถือว่าเติมมาได้พอสมควรสำหรับการเดินทางต่อ
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการชาร์จครั้งนี้คือ
ใครที่คิดจะเอารถ EV คันนี้ออกเดินทางไกล อาจจะต้องวางแผนจุดชาร์จระหว่างทางให้ดีครับ เพราะในโลกความจริง เราอาจต้องเจอกับสถานการณ์แบบนี้ เช่น เวลาชาร์จที่จำกัด หรือกำลังไฟที่ปล่อยได้ไม่เต็มที่ ถ้าเตรียมตัวดี ก็ขับ EV ทุกคันได้แบบสบายใจไร้กังวลแน่นอน
ภาพรวม เจ้า KIA EV5 GT-LINE AWD อาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบในทุกมิติ เช่น ความนุ่มนวลของช่วงล่างในบางจังหวะ หรืออาการของตัวรถตอนขับเร็ว ๆ ที่อาจทำให้ต้องใช้สมาธิหน่อย แต่ในทางกลับกัน มันก็มีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ทำให้ผมรู้สึกได้ว่า “นี่คือรถที่คิดมาดีสำหรับคนใช้งานจริง” โดยเฉพาะคนที่ใช้เดินทางกับครอบครัวในชีวิตประจำวันเป็นหลัก หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากได้รถที่แตกต่าง ดีไซน์ที่ดูแปลกใหม่ และเข้าใจคนใช้งานในแง่ฟังก์ชันเล็กๆน้อยๆ ผมว่า KIA EV5 คันนี้ก็น่าเก็บไว้เป็นหนึ่งในตัวเลือกเลยครับ
บทความโดย: สุทธิพงษ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา