
รายงานข่าวจาก บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด รายงานภาวะตลาดรถยนต์ไทยเดือนมกราคม 2568 พบว่า ตลาดรวม มียอดขายทั้งสิ้น 48,092คัน ลดลง 12.3%เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดย กลุ่มตลาดรถยนต์นั่งชะลอตัวที่ 22% ด้วยยอดขาย 18,254คัน ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ชะลอตัวเช่นกันที่ 5% ด้วยยอดขาย 29,838 คัน และตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน มียอดขาย 15,363 คันลดลง14.4% ในส่วนของตลาด xEV หรือ รถยนต์พลังงานใหญ่ (ไฮบริด ,รถยนต์ไฟฟ้า) มียอดขายรวมทั้งหมด 20,452 คันคิดเป็นสัดส่วน 43% ของตลาดรถยนต์ทั้งหมดเติบโตลดลง 4.63% โดยรถยนต์ไฮบริด(HEV) ยังคงสามารถเติบโตเพิ่มขึ้น 12% ด้วยยอดขาย 11,441 คันในขณะที่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า(BEV) มียอดขายรวม 7,239 คันลดลง 29.9%
สำหรับ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ และผู้นำตลาด 3 อันดับแรกของเดือนมกราคม2568 แบ่งตามเช็คเมนท์ตลาดมีดังนี้
1. ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 48,092คันลดลง12.3% ผู้่ครองตลาด อันดับที่ 1 ได้แก่ โตโยต้า 17,379 คัน ลดลง 0.8% ส่วนแบ่งตลาด 36.1% อันดับที่ 2 ฮอนด้า 7,062 คัน ลดลง 14.9% ส่วนแบ่งตลาด 14.7% อันดับที่ 3 อีซูซุ 6,137 คัน ลดลง 22.6% ส่วนแบ่งตลาด 12.8%
2. ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย18,254คันลดลง 22% ผู้นำตลาดอันดับที่ 1 โตโยต้า 5,844 คัน เพิ่มขึ้น 13.6% ส่วนแบ่งตลาด 32% อันดับที่ 2 ได้แก่ ฮอนด้า 3,789คัน ลดลง 17.8% ส่วนแบ่งตลาด 20.8% อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ 948คัน ลดลง 21.7% ส่วนแบ่งตลาด 5.2%
3. ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 29,838คัน ลดลง 5% ผู้นำอันดับที่ 1 ได้แก่ โตโยต้า 11,535คัน ลดลง 6.8% ส่วนแบ่งตลาด 38.7% อันดับที่ 2 ได้แก่ อีซูซุ 6,137คัน ลดลง 22.6% ส่วนแบ่งตลาด 20.6% อันดับที่ 3 ฮอนด้า 3,273คัน ลดลง 11.3% ส่วนแบ่งตลาด 11%
4. ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV*) มีปริมาณการขาย15,363คัน ลดลง 14.4% ผู้นำตลาด อันดับที่ 1 ได้แก่ โตโยต้า 6,584คัน ลดลง 17.3% ส่วนแบ่งตลาด 42.9% อันดับที่ 2 อีซูซุ จำนวน 5,498คัน ลดลง 20.6% ส่วนแบ่งตลาด 35.8% อันดับที่ 3 ฟอร์ด 1,677 คัน ลดลง 15.4% ส่วนแบ่งตลาด 10.9%
หากแยก ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) มีจำนวน 3,102 คัน แบ่งเป็น โตโยต้า1,068 คัน - อีซูซุ 1,109 คัน - ฟอร์ด 704 คัน - มิตซูบิชิ 178 คัน และนิสสัน43 คัน
5. ตลาดรถกระบะ(Pure Pick up) ปริมาณการขายทั้งสิ้น 12,261คัน ลดลง17.5% ผู้นำอันดับที่ 1 ได้แก่ โตโยต้า 5,516คัน ลดลง 19.4% ส่วนแบ่งตลาด 45% อันดับที่ 2 อีซูซุ 4,389คัน ลดลง 25.6% ส่วนแบ่งตลาด 35.8% อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ 982คัน เพิ่มขึ้น 89.9% ส่วนแบ่งตลาด 8%
จับตาเช็คเมนท์รถยนต์ไฟฟ้า
สำหรับตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ได้เข้าสู่ภาวะปรับตัวโดย ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า(BEV) เดือนม.ค.2568 มียอดขายรวม 7,239 คันลดลง 29.9% ในเช็เมนท์รถยนต์แบรนด์ใหม่ ที่จำหน่ายรถยนต์นั่งไฟฟ้า ผู้นำตลาด ได้แก่ BYD มียอดขายเป็นอันดับ 1 จำนวน 1,185 คัน ลดลง 80.9% เนต้ามียอดขาย 312 คันเพิ่มขึ้น 30.5% ฉางอานมียอดขาย 150 คันเพิ่มขึ้น 123.9%
ตลาดรถยังต้องใช้เวลา
นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท โตโยต้ามอเตอร์ ประเทศไทย เปิดเผยถึงแนวโน้มตลาดรถยนต์เดือนกุมภาพันธ์ ว่าตลาด มีแนวโน้มทรงตัวหรืออาจลดลงเมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ปีที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนต่อสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน นอกจากนี้สถาบันการเงินอาจยังคงความกังวลต่อหนี้ครัวเรือนที่ยังสูงและความสามารถในการชำระหนี้ของผู้บริโภคซึ่งอาจส่งผลต่อความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ อย่างไรก็ตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย จากร้อยละ 2.25 เป็นร้อยละ 2.00ต่อปี ซึ่งมีผลบังคับใช้ทันที อาจมีส่วนช่วยลดภาระประชาชน รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจและการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค ทั้งนี้อุตสาหกรรมยานยนต์ยังคงต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวไปพร้อมกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวม
พลิกปูมยอดจองปลายปี 67
ยอดจองรถยนต์ในงาน Thailand International Motor Expo 2024 ครั้งที่ 41 ระหว่างวันที่ 28 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2567 @ Challenger Hall 1 – 3 เมืองทองธานี (13 วัน) รวมทั้งสิ้น 54,634 คัน แบ่งสัดส่วน รถเครื่องยนต์สันดาปภายใน( ICE / HEV / PHEV) รวม 32,070 คัน คิดเป็น 58.7% และ รถไฟฟ้า100% BEV จำนวน 22,564 คัน คิดเป็น 41.3%
โดยจำนวนการจองแยกตามยี่ห้อได้ดังนี้
อันดับ 1 Toyota 8,297 คัน
อันดับ 2 BYD 7,042 คัน
อันดับ 3 HONDA 5,081 คัน
อันดับ 4 AION 3,668 คัน
อันดับ 5 MG 3,311 คัน
อันดับ 6 DEEPAL 2,756 คัน
อันดับ 7 MITSUBISHI 2,609 คัน
อันดับ 8 NISSAN 2,219 คัน
อันดับ 9 GWM 2,060 คัน
อันดับ 10 NETA 2,016 คัน
อันดับ 11 ISUZU 1,942 คัน
อันดับ 12 MAZDA 1,509 คัน
อันดับ 13 BMW 1,331 คัน
อันดับ 14 FORD 1,154 คัน
อันดับ 15 Mercedes-BENZ 1,122 คัน
อันดับ 16 SUZUKI 1,012 คัน
อันดับ 17 OMODA & JAECOO 1,008 คัน
อันดับ 18 ZEEKR 866 คัน
อันดับ 19 GEELY 766 คัน
อันดับ 20 XPENG 638 คัน
อันดับ 21 DENZA 573 คัน
อันดับ 22 HYUNDAI 555 คัน
อันดับ 23 RIDDARA 532 คัน
อันดับ 24 KIA 468 คัน
อันดับ 25 WULING 389 คัน
อันดับ 26 AVATR 337 คัน
อันดับ 27 VOLVO 330 คัน
อันดับ 28 MINI 230 คัน
อันดับ 29 TESLA 193 คัน*
อันดับ 30 AUDI 141 คัน
อันดับ 31 LEAPMOTOR 117 คัน
อันดับ 32 LEXUS 99 คัน
อันดับ 33 PORSCHE 92 คัน
อันดับ 34 JUNEYAO 63 คัน
อันดับ 35 PEUGEOT 22 คัน
อันดับ 36 LOTUS 20 คัน
อันดับ 37 MASERATI 15 คัน
อันดับ 38 JEEP 11 คัน
เป็นที่สังเกตว่ายอดจองรถยนต์เหล่านี้ ควรจะมียอดจดทะเบียนใน ช่วงเวลา 1-2 เดือนคือ เดือนธันวาคม 2567 และเดือนมกราคม 2568 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่ทราบกันดีว่า ผู้บริโภคที่ซื้อรถในงานแสดงดังกล่าวจะนิยม จดทะเบียนในเดือนมกราคม เพื่อให้ได้รับทะเบียนเป็นรถปีจดทะเบียนใหม่ และยอดจองในงานแสดงรถต่างๆ หากมีปริมาณจดทะเบียนมากจริงจากตัวเลขจองจะส่งผลอย่างชัดเจนต่อปริมาณการขายรถในรายงาน