
เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 นายมาซาฮิโร โมโร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร & ซีอีโอ มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ได้เข้าพบนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย เพื่อประกาศแผนการลงทุนเพิ่มเติมในประเทศไทย มูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท การลงทุนนี้มุ่งเน้นการผลิตรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดเล็ก (B-SUV) ที่ใช้ระบบ Mild Hybrid (MHEV) โดยตั้งเป้าผลิต 100,000 คันต่อปี เพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปยังญี่ปุ่น กลุ่มประเทศอาเซียน และตลาดอื่น ๆ ทั่วโลก
ทั้งนี้ มาสด้า มอเตอร์ คอร์ป จะจัดงานแถลงรายละเอียดการลงทุนและแผนการดำเนินธุรกิจใหม่ทั่วโลกในไทยในวันนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2568) ณ โรงแรมดุสิตธานี สีลม ซึ่งงานแถลงข่าวจะจัดขึ้นภายใต้ธีม - The Future, Crafted by the Joy of Driving เพื่อนำเสนอวิสัยทัศน์แห่งอนาคตจากมาสด้า ซึ่งมีผู้บริหารสำคัญเข้าร่วมการแถลงข่าวดังนี้ 1.นายมาซาฮิโร โมโร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร & ซีอีโอ มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น โดยจะกล่าวถึง กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจมาสด้าทั่วโลก 2. นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหาร & ซีอีโอ มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย จะแถลงในหัวข้อทิศทางการดำเนินธุรกิจมาสด้าในประเทศไทย เป็นที่น่าสังเกตุว่าการแถลงข่าวด้วยตนเอง ครั้งนี้ของนายมาซาฮิโร โมโร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร & ซีอีโอ มาสด้า มอเตอร์ นั้นเป็นครั้งแรกในรอบนับสิบปีที่ ประธานและซีอีโอ เดินทางมาประเทศไทยและแถลงด้วยตัวเอง
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า หลังการเข้าพบเข้าพบนายกรัฐมนตรี ของนายมาซาฮิโร โมโร ว่า มาสด้าได้ประกาศแผนขยายลงทุนในไทยเพิ่ม 5,000 ล้านบาท ทั้งนี้ จะใช้ไทยเป็นฐานการผลิตหลักของรถยนต์อเนกประสงค์ B-SUV แบบ Mild Hybrid (MHEV) ซึ่งเป็นรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบผสมที่ใช้เครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า โดยตั้งเป้าผลิต 1 แสนคันต่อปี เพื่อส่งออกไปทั่วโลก
“การขยายการลงทุนของมาสด้า เพื่อใช้ไทยเป็นฐานการผลิตหลักครั้งนี้ เชื่อมั่นศักยภาพไทย และความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ทุกประเภทให้เปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีใหม่ที่เป็นมิตรสิ่งแวดล้อม ควบคู่การต่อยอดผู้ผลิตชิ้นส่วนในซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมยานยนต์ให้แข็งแกร่งขึ้น ช่วยขับเคลื่อนไทยเป็นผู้นำฐานการผลิตและส่งออกยานยนต์ของภูมิภาค” นายนฤตม์ กล่าว
นายโมโร กล่าวว่า มาสด้าในไทยมีประวัติศาสตร์มานานกว่า 70 ปี นอกจากบริษัท มาสด้า เซลส์ และเครือข่ายผู้จำหน่ายรถยนต์มาสด้าแล้ว มาสด้าลงทุนสร้างฐานการผลิตในไทยต่อเนื่อง โดยตั้งโรงงาน AutoAlliance (AAT) ที่ระยอง เมื่อปี 2538 เพื่อผลิตรถยนต์นั่งและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ และได้ก่อตั้งโรงงาน Mazda Powertrain Manufacturing Thailand (MPMT) ที่จังหวัดชลบุรี เมื่อปี 2558 เพื่อผลิตเครื่องยนต์และเกียร์อัตโนมัติ ซึ่งทั้งสองโรงงานเป็นรากฐานสำคัญที่ส่งเสริมให้ไทยกลายเป็นจุดศูนย์กลางในการผลิตรถยนต์มาสด้าและชิ้นส่วน เพื่อจำหน่ายภายในประเทศและส่งออกไปยังตลาดทั่วโลก
“วันนี้มาสด้าได้ก้าวไปอีกขั้น เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (xEV) ด้วยการเพิ่มเงินลงทุนกว่า 5,000 ล้านบาท ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ B-SUV ของมาสด้า ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าในการช่วยขับเคลื่อน ประหยัดพลังงาน ลดมลภาวะ และความปลอดภัยในระดับมาตรฐานสากล ตั้งเป้าการผลิต 1 แสนคันต่อปี เพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปประเทศญี่ปุ่น กลุ่มอาเซียน และประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก" สำหรับโดยการลงทุนนี้จะครอบคลุมทั้งในส่วนของการประกอบรถยนต์ และการผลิตชิ้นส่วนสำคัญ ทั้งเครื่องยนต์ เกียร์ และแบตเตอรี่ พร้อมเร่งลงทุนเพื่อให้เริ่มผลิตได้ในปี 2570 รองรับความต้องการรถยนต์พลังงานใหม่ที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาเครือข่ายผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศให้รองรับเทคโนโลยีใหม่
"นี่คือจุดเริ่มต้นของการลงทุนเพิ่มเติมครั้งใหญ่สำหรับไทยเพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของมาสด้า ภายใต้แนวทาง Multi-Solution ซึ่งตอกย้ำถึงพันธกิจและความสัมพันธ์อันดีระหว่างมาสด้ากับไทยที่ดำเนินมายาวนานหลายทศวรรษ และแสดงให้เห็นการมีส่วนช่วยสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์และการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย” นายมาซาฮิโร กล่าว การลงทุนดังกล่าวจะดำเนินการผ่านโรงงานเอเอที( AutoAlliance Thailand)
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวว่า การลงทุนของมาสด้าในครั้งนี้เป็นผลมาจากมาตรการสนับสนุนของรัฐบาลไทยในการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดย BOI ได้ให้สิทธิประโยชน์พิเศษแก่ผู้ผลิตรถยนต์ที่นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในสายการผลิต การลงทุนนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของมาสด้าในการสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค และเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประเทศไทยที่ดำเนินมายาวนานกว่า 70 ปี"