
แม้ยอดขายในประเทศของ ISUZU จะลดลงจากสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำของไทย โดย ISUZU มียอดขายรวมในไทยอยู่ที่ 85,582 คัน ขายรถยนต์รวมได้เป็นอันดับ 2 ของไทย แบ่งเป็น
D-Max 61,580 คัน รถยนต์ขายดีอันดับ 2 ของไทย ในปี 2567
Mu-X 13,014 คัน รถยนต์อเนกประสงค์ PPV ขายดีอันดับ 1 ร่วมกับ TOYOTA Fortuner ในปี 2567
Truck 10,988 คัน รถบรรทุกยอดขายอันดับ 1 ในไทย ส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุด 60.6% ในปี 2567
เปิดกำไรฝั่งโรงงาน บริษัท อีซูซุ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด (ISUZU MOTORS THAILAND) กำไร 22,348,270,499 บาท จากการส่งงบล่าสุดในปี 2567 โตขึ้น 5.08% เมื่อเทียบกับปี 2566 และทำกำไรมากที่สุดในรอบ 9 ปี โดย บริษัท อีซูซุ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด รับผิดชอบด้านการประกอบรถยนต์แบรนด์ ISUZU และรถปิ๊กอัพแบรนด์ MAZDA โดยเป็นการรับผิดชอบการประกอบเพื่อจำหน่ายในประเทศ และประกอบเพื่อส่งออก
ขณะที่ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำตลาดแบรนด์ ISUZU ในไทย มีกำไร 18,512,367,153 บาท จากการส่งงบล่าสุดปี 2567 ลดลง 19.85% เมื่อเทียบกับปี 2566
เมื่อมองไปยังตลาดรวมของรถยนต์ในประเทศไทยในปี 2567 มียอดขายรวมทุกแบรนด์เหลือเพียง 5.7 แสนคัน ต่ำสุดในรอบ 15 ปี ยิ่งตอกย้ำว่า ปัญหาด้านเศรษฐกิจของไทย ยังไม่ได้รับการแก้ปัญหาได้ดีมากนัก บวกกับนโยบายด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยและการค้าสร้างผลกระทบต่อตลาดอุตสาหกรรมของไทยอย่างหนัก กระทบต่อตลาดแรงงาน อันเป็นรากฐานเศรษฐกิจสำคัญของไทยในเวลานี้
ฉะนั้นในสภาวะการณ์แบบนี้ แบรนด์ ISUZU ในไทย ไม่ได้เข้าใกล้คำว่า "วิกฤต" เลยสักนิด แม้ตัวเลขการจำหน่ายรถในประเทศไทยจะลดลงอย่างมาก เมื่อเทียบกับในอดีตที่เคยทำยอดขายได้มากกว่าแสนคันเป็นเรื่องปกติ แต่ด้วยสภาพตลาดที่ตกต่ำของไทย ไม่ใช่แค่ ISUZU ที่ได้รับผลกระทบ แต่ค่ายอื่นก็ประทบเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น TOYOTA, FORD, MITSUBISHI หรือแม้แต่ค่ายอื่นๆ และถ้ามองตลาดให้เป็นธรรม จะเห็นว่า ISUZU ทำตลาดรถยนต์ในประเทศไทยแค่ 3 ประเภทคือ PickUp, PPV และ TRUCK กับการสร้างยอดขายรวมในสภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำเช่นด้วยการครองอันดับ 2 ของตลาดรวม เป็นรองเพียง TOYOTA สถานการณ์นี้ ไม่ได้เข้าใกล้คำว่า "วิกฤต" อย่างที่สื่อบางสำนักสร้างประเด็น