
เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2568 กระทรวงการคลังได้” เปิดตัวมาตรการ “กระบะพี่ มีคลังค้ำ” ปลดล็อก SMEs เข้าถึงสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะใหม่ เพื่อปลุกอุตสาหกรรมยานยนต์ และช่วยพลิกฟื้นบริษัทผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจจากปัญหา การเข้าถึงสินเชื่อค่อนข้างยากทำให้รัฐบาลต้องใช้กลไกบางอย่างเพื่อลดปัญหาโดยจะเริ่ม 1 เม.ย.นี
สำหรับรายละเอียดนั้น นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) กล่าวว่า มาตรการ “กระบะพี่ มีคลังค้ำ” เป็นมาตรการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะใหม่ “SMEs PICK-UP” ของ บสย. ที่ปลดล็อกข้อจำกัดทางการเงินให้กับ SMEs และผู้ประกอบการรายย่อย ที่มีความจำเป็นต้องซื้อรถกระบะใหม่ โดย บสย. จะมีบทบาทสำคัญในการช่วยชดเชยความเสี่ยง ด้วยการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะใหม่ เพื่อสร้างความมั่นใจให้สถาบันการเงิน (ไฟแนนซ์) ในการปล่อยสินเชื่อ ช่วยเพิ่มโอกาสที่จะได้รับการอนุมัติสินเชื่อ (Approval Rate) ให้กับ SMEs และผู้ประกอบการรายย่อยที่มีความจำเป็นต้องใช้รถกระบะเป็นเครื่องมือประกอบอาชีพ เช่น เกษตรกร ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ขนส่งสินค้า ค้าขาย และฟู้ดทรัค เป็นต้น
ตลาดกระบะหดตัวเลือ31%
สำหรับ “อุตสาหกรรมยานยนต์” เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของประเทศ คิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP ถึง 18% ซึ่งประเทศไทยถือเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะการผลิตรถกระบะขนาด 1 ตัน ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลก ทั้งนี้ จากยอดผลิตรถยนต์รวมทุกประเภท จากฐานการผลิตของไทยจำนวน 1.477 ล้านคัน (ขายในประเทศ+ส่งออก) เป็นสัดส่วนการผลิตรถกระบะ เกือบ 50% หรือกว่า 7.3 แสนคัน โดยภาพรวมอุตสาหกรรมช่วงที่ผ่านมา การผลิตเพื่อขายในประเทศและการส่งออกจากเดิมสัดส่วนอยู่ที่ 50:50 แต่ในปี 2567 พบว่าตลาดในประเทศหดตัว ทำให้การผลิตเพื่อขายในประเทศลดลงเหลือ 31% ขณะที่การส่งออกเพิ่มเป็น 69% โดยเชื่อมั่นว่าจากมาตรการนี้จะช่วยกระตุ้นตลาดรถยนต์ โดยเฉพาะรถยนต์เชิงพาณิชย์ที่ซบเซาให้กลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง
เปิดเงื่อนไขกระบะพี่ มีคลังค้ำ
มาตรการ “กระบะพี่ มีคลังค้ำ” ยังช่วย SMEs ลดภาระทางการเงิน ด้วยสิทธิประโยชน์ ฟรี! ค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 3 ปีแรก โดยรัฐบาล กระทรวงการคลังเป็นผู้ออกค่าธรรมเนียมค้ำประกันให้ ส่วนปีที่ 4-7 คิดค่าธรรมเนียมค้ำประกันต่ำเพียง 1.5% ต่อปี ของภาระหนี้ค้ำประกันในแต่ละปี เช่นภาระหนี้สินเชื่อปีที่ 4 คงเหลือ 300,000 บาท SMEs จะจ่ายค่าธรรมเนียมค้ำประกันเพียง 4,500 บาทเท่านั้น พร้อมค้ำประกันนานสูงสุด 7 ปี หรือ 84 งวด วงเงินค้ำประกันสูงสุด 1.5 ล้านบาทต่อราย ภายใต้วงเงินค้ำประกันในระยะแรกจำนวน 5,000 ล้านบาท กลุ่มเป้าหมายคือ SMEs และผู้ประกอบการรายย่อย ที่ขอสินเชื่อเช่าซื้อสำหรับซื้อรถกระบะใหม่เพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์ โดยเปิดรับคำขอค้ำประกันตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 และสิ้นสุดรับคำขอค้ำประกันภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2568 คาดว่าจะช่วยผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการซื้อรถกระบะใหม่ เข้าถึงสินเชื่อได้กว่า 6,250 ราย ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบกว่า 5,000 ล้านบาท และสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 21,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังช่วยพลิกฟื้นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศไทยได้มากกว่า 2,500 บริษัท
สรุปรายละเอียดโครงการ
หัวข้อ | รายละเอียด |
---|---|
มาตรการ | "กระบะพี่ มีคลังค้ำ" - ค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะใหม่สำหรับ SMEs |
หน่วยงานที่รับผิดชอบ | กระทรวงการคลัง |
ระยะเวลารับคำขอค้ำประกัน | 1 เมษายน 2568 - 30 ธันวาคม 2568 |
สิทธิประโยชน์ | ฟรี! ค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 3 ปีแรก (รัฐบาลออกให้) |
ค่าธรรมเนียมปีที่ 4-7 | 1.5% ต่อปี ของภาระหนี้ค้ำประกันที่เหลือ |
ตัวอย่างการคำนวณ | ปีที่ 4 ภาระหนี้คงเหลือ 300,000 บาท SMEs จ่ายค่าธรรมเนียมเพียง 4,500 บาท |
ระยะเวลาค้ำประกันสูงสุด | 7 ปี หรือ 84 งวด |
วงเงินค้ำประกันสูงสุดต่อราย | 1.5 ล้านบาท |
วงเงินค้ำประกันในระยะแรก | 5,000 ล้านบาท |
กลุ่มเป้าหมาย | SMEs และผู้ประกอบการรายย่อยที่ซื้อรถกระบะใหม่เพื่อการพาณิชย์ |
จำนวนผู้ได้รับประโยชน์ | คาดว่าจะช่วย SMEs ได้กว่า 6,250 ราย |
ผลกระทบทางเศรษฐกิจ | ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบกว่า 5,000 ล้านบาท สร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 21,000 ล้านบาท |
ผลต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ |
สนับสนุนบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในไทยกว่า 2,500 บริษัท
|
มาตรการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อ บสย. SMEs PICK-UP อยู่ภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 11 “บสย. SMEs ยั่งยืน” ดังนั้น ลูกหนี้ SMEs ที่ถือหนังสือค้ำประกัน บสย. จะได้รับความช่วยเหลือในกรณีที่ประสบปัญหาไม่สามารถผ่อนชำระค่างวดต่อได้จนกลายเป็นหนี้เสีย และรถถูกยึดขายทอดตลาดเสร็จสิ้นแล้ว โดยไฟแนนซ์พิจารณาส่งยอดหนี้คงเหลือมาเคลมกับ บสย. ซึ่งลูกหนี้ที่ถูกจ่ายเคลมภายใต้มาตรการนี้ สามารถเข้าร่วมมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ “บสย. พร้อมช่วย” หรือ มาตรการ 3 สี ม่วง เหลือง เขียว ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ บสย. (SMEs ที่ บสย. จ่ายเคลม) ผ่อนยาวสูงสุด 7 ปี ดอกเบี้ย 0% ตัดเงินต้นก่อนตัดดอก และสำหรับลูกหนี้ดี มีวินัย สามารถปลดหนี้ได้เร็วขึ้น โดย บสย. ลดเงินต้นให้สูงสุด 10-15% และพิเศษลดเงินต้น 30% สำหรับลูกหนี้ “กลุ่มเปราะบาง” ที่เงินต้นไม่เกิน 2 แสนบาท เพื่อให้ความช่วยเหลือ SMEs ครอบคลุมทุกกลุ่ม พร้อมปรับสิทธิประโยชน์ให้มีความยืดหยุ่น ผ่อนปรนมากยิ่งขึ้น เพื่อช่วยให้ SMEs สามารถแก้หนี้ได้เร็วขึ้น ง่ายขึ้น พร้อมฟื้นฟูธุรกิจเดินหน้าต่อได้อย่างยั่งยืน
ช่วยตลาดรถกระบะจริงหรือไม่?
มาตรการ “กระบะพี่ มีคลังค้ำ” เป็นนโยบายที่มุ่งช่วยเหลือ SMEs และกระตุ้นตลาดรถกระบะ แต่ในสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน ยังมีปัจจัยหลายด้านที่ต้องพิจารณาว่าใครจะได้ประโยชน์ และใครอาจได้รับผลกระทบจากแคมเปญนี้ แน่นอนว่า ผู้ประกอบการขนาดเล็ก เช่น ร้านค้าออนไลน์, โลจิสติกส์ท้องถิ่น, ธุรกิจขนส่ง, เกษตรกร และงานก่อสร้าง จะสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ลดภาระต้นทุนในช่วง 3 ปีแรกจากการยกเว้นค่าธรรมเนียมค้ำประกัน และ รถกระบะ ที่เป็นหลักของตลาดเช่น โตโยต้า อีซูซุ ฟอร์ด มิตซูบิชิ นิสสัน ฯลฯ อาจเห็นยอดขายขยับขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดซบเซา จากยอดขายและการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อเพิ่มขึ้น การเพิ่มยอดขายรถกระบะช่วยให้โรงงานผลิตรถยนต์และผู้ผลิตชิ้นส่วนมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น ทำให้การจ้างงานในอุตสาหกรรมยานยนต์มีเสถียรภาพมากขึ้น สถาบันการเงินทั้งธนาคารและไฟแนนซ์ ในฐานะผู้ปล่อยสินเชื่อหลัก ก็มีโอกาสปล่อยกู้เพิ่มขึ้น โดยที่มีความเสี่ยงลดลง ในขณะที่ รัฐบาลต้องแบกรับภาระจากการค้ำประกันสินเชื่อ ซึ่งหาก SMEs ไม่สามารถชำระหนี้ได้ รัฐอาจต้องชดเชยเงินก้อนนี้ หากเศรษฐกิจไม่ฟื้นตัวเร็วพอ อาจเกิดปัญหาหนี้เสีย (NPLs) เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ เนื่องจากมาตรการนี้เน้นช่วยเหลือเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ทำให้ผู้ที่ต้องการซื้อรถกระบะเพื่อการใช้ส่วนตัวไม่ได้รับประโยชน์อะไร และกลุ่มดังกล่าวก็เป็นกลุ่มที่เปราะบางในแง่ของหนี้ครัวเรือนที่เป็นคนส่วนใหญ่ของลูกหนี้ ซึ่งสุดท้ายแล้ว มีคำถามว่า แคมเปญนี้ช่วยตลาดรถกระบะจริงหรือไม่?
จากรายละเอียดก็คงช่วยกระตุ้นยอดขายรถกระบะได้บางส่วน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการที่ต้องการใช้รถเพื่อดำเนินธุรกิจจริงๆ แต่การกระตุ้นอาจจำกัดเฉพาะผู้ที่มีศักยภาพทางการเงินอยู่แล้ว ยังต้องจับตาสถานการณ์เศรษฐกิจ หากภาวะเศรษฐกิจยังซบเซา ธุรกิจขนาดเล็กอาจไม่กล้าเป็นหนี้เพิ่ม หรือธนาคารยังคงเข้มงวดในการปล่อยกู้ อาจทำให้โครงการนี้ไม่ได้ผลเต็มที่ ไม่สามารถฟื้นฟูตลาดรถกระบะได้ทั้งหมด เนื่องจากยอดขายรถกระบะในปัจจุบันได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย เช่น ราคาน้ำมันสูง อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แพง ที่สำคัญคือ กำลังซื้อของประชาชนที่ลดลงอย่างมาก