
ประกอบด้วย! การรับประกันคุณภาพ บริการบำรุงรักษาตามระยะ และ บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมง ระยะเวลา 5 ปี พิเศษสำหรับลูกค้าจองและออกรถตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน – 31 ธันวาคม 2566 สัมผัสประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟเยี่ยมชมโรงงาน ณ ประเทศอังกฤษ ระยะเวลา 3 วัน 2 คืน ข้อมูลเพิ่มเติม Range Rover SV สุดยอดยนตกรรมของตระกูล Range Rover เสนอความหรูหราเฉพาะตัวของ Range Rover ด้วยบริการใหม่ SV Bespoke Service กับวัสดุพิเศษเฉพาะ ธีมการออกแบบที่คัดสรรมาอย่างดี รวมถึงขอบเขตการปรับแต่งที่มากขึ้นกว่าที่เคยของผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคนิค Special Vehicle Operations
ทำให้มีทางเลือกสำหรับแนวทางในการสร้างสรรค์ในแบบฉบับของตนเอง เติมเต็มความหลงใหลการออกแบบ ความสมบูรณ์แบบของไลฟ์สไตล์ ในงานฝีมือ และ วัสดุคุณภาพระดับสูง Range Rover SV สามารถกำหนดธีมการออกแบบได้ทั้งภายนอกและภายในที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี ได้แก่ SV Serenity และ SV Intrepid ตกแต่งด้วยสีและวัสดุที่งดงามในทิศทางที่แตกต่างกันในลักษณะของสีทูโทนที่ตัดกันระหว่างด้านหน้าและด้านหลังด้วยวัสดุพิเศษได้แก่ โลหะชุบมันเงา เซรามิกเนื้อเรียบ งานประดับกระเบื้อง โมเสคอันประณีต และ หนังอะนิลีนเนื้อนุ่มเดียวกันลูกค้า Range Rover SV ยังสามารถเลือกสีมาตรฐานของ Range Rover หรือสีเพิ่มเติมได้ 14 สีใน SV Bespoke Premium Palette ซึ่งรวมถึงสีเคลือบเงาและสีซาติน ขณะที่ภายในมีเฉดสีวัสดุให้เลือกถึง 391 เฉดสี ส่วนชุดสี SV Bespoke นั้นจะประกอบด้วยสีซาตินและเคลือบเงามากกว่า 230 สี ตลอดจนบริการ Match to Sample ลูกค้าสามารถทำให้ Range Rover มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวได้ อย่างแท้จริง สามารถเข้าถึงวัสดุได้ตามต้องการ ทั้งการตกแต่งภายในและภายนอก การทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญของ SV
ปฏิบัติตามกระบวนการขั้นตอนที่มีเอกลักษณ์ จากสี ธีม ตัวเลือก พิเศษเฉพาะของ SV วัสดุ และ การตกแต่งขั้นสุดท้าย ซึ่งการปรับแต่งเฉพาะบุคคลนี้ ทำให้รถยนต์แต่ละคันจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว บ่งบอก และ สะท้อนความเป็นตัวตนอย่างแท้จริง การใช้วัสดุที่พิเศษในการสร้างความแตกต่างที่ทำให้ Range Rover SV มีความหรูหรา และทัน สมัย โดยเฉพาะการใช้เซรามิกในการผลิตตราสัญลักษณ์ SV สีดำที่อยู่ด้านท้ายที่แสดงออกถึงความบริสุทธิ์และความแข็งแกร่ง โดยใช้เทคนิคในการผลิตแบบเดียวกับที่ใช้ผลิตหน้าปัดนาฬิกาหรู และ เป็นครั้งแรกที่ใช้วิธีการดังกล่าวกับภายนอกรถยนต์ วงกลมอันเป็นเอกลักษณ์ผสมผสานตัวอักษรสีดำขึ้นรูปบนพื้นหลังสีขาวเรียบ เนียน ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงความแตกต่างอย่างแท้จริง
ห้องโดยสารโดดเด่นด้วย SV Signature Suite แบบ 4 ที่นั่งมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้กับผู้โดยสารด้วยเบาะคู่หน้าไฟฟ้าสามารถปรับ ได้ 24 ทิศทาง พร้อมฟังก์ชันการนวด ในขณะที่โต๊ะ Club Table ก็ปรับใช้ด้วยระบบไฟฟ้าได้อย่างลงตัว โดยจะยกสูงขึ้นจากคอนโซลกลางที่มีความยาวแบบเต็มพื้นที่ตั้งแต่ด้านหน้า จนถึงด้านหลัง ซึ่งซ่อนฟังก์ชันการใช้งานไว้จนกว่าจะถึงเวลาที่ต้องการได้อย่างแนบเนียน เพื่อมอบพื้นที่ใช้สอยที่สะดวกสบายเมื่อจำเป็น เช่นเดียวกับที่วางแก้วก็สามารถเลื่อนขึ้นจากใต้แผ่นฝาปิดได้อย่างไหลลื่นในทุกครั้งที่ต้องการใช้งาน ความใส่ใจในรายละเอียดยังขยายไปถึงประตูตู้เย็นแบบเปิดด้วยไฟฟ้า ซึ่งควบคุมโดยใช้ตัวควบคุมบนหน้าจอสัมผัสที่เบาะหลังขนาด 8 นิ้ว โดยเผยให้เห็นช่องที่ใหญ่พอที่จะใส่ขวดแชมเปญได้และสามารถทำความเย็นได้เร็วกว่าที่เคย
ในส่วนของคอนโซลกลางยังมีพื้นที่ซ่อนไว้สำหรับเก็บของมีค่าได้อย่างปลอดภัย ในขณะที่การชาร์จอุปกรณ์ไร้สาย การเชื่อมต่อ USB ช่องจ่ายไฟ 12V และ ปลั๊กไฟแบบที่ใช้ภายในบ้านนั้น อยู่ใต้ที่วางแขนตรงกลางด้านหลังด้วยวิธีนี้ SV Signature Suite จึงมอบสิ่งที่ดีที่สุดและสภาพแวดล้อมการเดินทางที่ไม่มีใครเทียบได้ ไม่ว่าผู้โดยสารจะทำงานหรือพักผ่อนก็ตาม นอกจากนี้ Range Rover SV ยังมอบประสบการณ์ความบันเทิงขั้นสูงสำหรับที่นั่งด้านหลัง ด้วยหน้าจอขนาด 13.1 นิ้ว ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดา Range Rover ทุกรุ่น และหูฟังประสิทธิภาพสูงพร้อมความคมชัดที่เพิ่มขึ้นพิเศษเฉพาะรุ่น SV เท่านั้น
Range Rover SV ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง Ingenium ขนาด 3.0 ลิตร Turbocharged Petrol PHEV ให้พละกำลัง สูงสุด 460 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 550 นิวตัน-เมตร มาพร้อมกับระบบส่ง กำลังแบบอัตโนมัติขับเคลื่อน 4 ล้อ (iAWD) ควบคุมโดยระบบ Intelligent Driveline Dynamics (IDD) ซึ่งทำงานด้วยการตรวจสอบระดับการยึดเกาะและการสั่งการของผู้ขับขี่ 100 ครั้งต่อวินาที เพื่อคาดการณ์การกระจายแรงบิดระหว่างเพลาหน้ากับเพลาหลัง และ กระจายไปทั่วเพลาหลัง เพื่อแรงยึดเกาะที่ดีที่สุดทั้งการขับขี่บนทางราบเรียบและเส้นทางขรุขระ Range Rover SV มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อน Dynamic Response Pro รุ่นล่าสุดที่จะรักษาระดับสมดุลของตัวรถให้ขนานไปกับถนนในขณะเข้าโค้ง ระบบ Terrain Response ที่เพิ่มฟังก์ชัน Adaptive Off-Road Cruise Control ที่จะรักษาความเร็วของรถเมื่อเข้าสู่ทางออฟโรด โดยที่คนขับไม่ต้องกังวลในการควบคุมความเร็ว ทำให้สามารถโฟกัสในการขับขี่ และควบคุมพวงมาลัย ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น