
ปี 2567 ถือเป็นปีทองของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า((BEV))ในประเทศไทยอีกปีหนึ่งแม้ว่าตลาดรวมรถยนต์ไฟฟ้ามีอัตราการเติบโตลดลงเล็กน้อย โดยรถยนต์แบรนด์ BYD ยังคง มีการจดทะเบียนมากสุด สำหรับยอดการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2567(2024) อยู่ที่ 68,936 คัน มีอัตราการเติบโตลดลง 9.67 % เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งในปี 2566 (2023) ยอดรถยนต์ไฟฟ้ามีการจดทะเบียนรวม 76,314 คัน สำหรับแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่ยังคงดึงดูดตลาดไทย 10 อันดับแรกของปี 2567 นั้นเราพบว่า มีถึง 7 แบรนด์ที่เป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจากจีนที่เหลือเป็นแบรนด์ยุโรปโดยไม่มีค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากญี่ปุ่นติดอันดับมาเลย
10 ในแบรนด์รถยนต์ BEV ที่ครองตลาดไทยสูงสุด ปี 2567
1. BYD ยอดขาย 27,021 คัน ครองส่วนแบ่งตลาด 39.2 %
2. MG ยอดขาย 9,080 คัน ครองส่วนแบ่งตลาด 13.2%
3. NETA ยอดขาย 7,969 คัน ครองส่วนแบ่งตลาด 11.6%
4. CHANGAN ยอดขาย 5,902 คัน ครองส่วนแบ่งตลาด 8.6%
5. AION ยอดขาย 5,184 คัน ครองส่วนแบ่งตลาด7.5%
6. TESLA ยอดขาย 4,120 คัน ครองส่วนแบ่งตลาด 6%
7. ORA ยอดขาย 3,231 คัน ครองส่วนแบ่งตลาด 4.7%
8. VOLVO ยอดขาย 1,662 คัน ครองส่วนแบ่งตลาด 2.4%
9. BMW ยอดขาย 1,485 คัน ครองส่วนแบ่งตลาด 2.2%
10. WULING ยอดขาย 711 คัน ครองส่วนแบ่งตลาด 1%
BYD แชมป์ที่มั่นคง
BYD ยังคงเป็นรถยนต์ไฟฟ้ายอดนิยม สามารถครองอันดับหนึ่งในด้านยอดขายตลอดทั้งปี โดยมีส่วนแบ่งการตลาด 39.2% ทั้งนี้ BYD เริ่มเปิดตลาดรถในเดือนตุลาคม 2565 และเริ่มส่งมอบ Atto 3 ในประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายนของปีเดียวกัน เป็นครั้งแรก ส่งผลให้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2566 ค่ายBYD สามารถครองแชมป์ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยเป็นเวลาอย่างน้อย 18 เดือน ปัจจุบัน รถยนต์ไฟฟ้า 1 ใน 3 คันที่จำหน่ายในประเทศไทยมาจาก BYD ปี2567 BYD มีการจำหน่ายรถยนต์ทั้่งหมด 6 รุ่นหลัก รวมรถนั่ง รถตู้ แบ่งออกเป็น 16 รุ่นย่อย มากสุดเมื่อเทียบกับคู่แข่ง โดยรุ่นที่จำหน่าย โดยรุ่นย่อย 3 อันดับยอดนิยม มีดังนี้ 1.BYD DOLPHIN STD ยอดจำหน่าย 7,427 คัน 2.BYD ATTO 3 จำนวน 4,353 คัน และ3.BYD DOLPHIN EXD จำนวน 3,302 คัน ทั้งนี้ ในปี2567 ยังไม่มีการรายงานยอดขายของรถรุ่นใหม่ ที่เข้ามาเสริมตลาด อย่างเดนซ่า ซึ่งนำมาจัดแสดงในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 41 เมื่อปลายปีที่แล้ว
MG
เอ็มจี (MG) ครองอันดับ 2.ด้วยส่วนแบ่งตลาด13.2% MG เป็นรถที่มีพื้นฐานเข้าตลาดไทยด้วยรถเครื่องยนต์สันดาปภายในก่อนจะขยายเข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า MGได้รับการยอมรับในแง่ของ ความคุ้มค่าและการมีเครือข่ายที่แข็งแรง รวมถึงมีฐานลูกค้าเก่าจำนวนมาก ทำให้เมื่อเข้าตลาดยังคงมีความสามารถในการแข่งขัน รถไฟฟ้าของเอ็มจีมีจำหน่ายทั้งหมด 7 รุ่นหลักและรุ่นที่ได้รับความนิยม 3 อันดับแรกได้แก่ 1.MG4 ELECTRIC มียอดขาย 5,402 คัน 2.MG EP จำนวน 1,886 คัน และอันดับ 3.ได้แก่ MAXUS จำนวน 9,670 คัน ส่วนรถยนต์สปอร์ตไฟฟ้า ก็ได้รับความนิยมรุ่นขายดีได้แก่ CYBERSTER มียอดขาย 62 คัน สำหรับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ในปี 2025 ของMG ได้แก่ All New MG ES5
NETA
เนต้า ค่ายรถที่เคยเป็นผู้นำตลาดก่อนหน้า BYD จะเข้าตลาด ในปี2567 เนต้าทำยอดขายรวม 7,969 คัน ครองส่วนแบ่งตลาด 11.6% เป็นอันดับ 3 แม้ว่าจะมีข่าวร้ายของบริษัทแม่เกี่ยวกับปัญหาการเงินและมียอดขายตกต่ำในจีน แต่เนต้าในไทยยังคงได้รับการยอมรับอย่างดี สาเหตุที่เนต้าเป็นที่นิยมเนื่องจาก เนต้าทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเจาะกลุ่มแมส ระดับราคาไม่สูงทำให้ผู้บริโภคที่ต้องการรถยนต์ไฟฟ้า สามารถเข้าถึงและเป็นเจ้าของได้ง่ายอย่างไรก็ตามอนาคตของเนต้ายังไม่แน่นอนจากปัญหาที่จีน และอาจส่งผลต่อการขยายโมเดลใหม่ๆ ในอนาคต ซึ่งเนต้ากำหนดเป้าหมายในไทยไว้ว่า ต้องการก้าวสู่การเป็น TOP 5 แบรนด์รถยนต์ในประเทศไทย ภายในปี 2573 โดยจะเปิดตัวรถรุ่นใหม่ 1 รุ่นทุกปีนับจากปี 2568 สำหรับเนต้ามีรถจำหน่าย 3 รุ่นหลักและ รถรุ่นยอดนิยมของเนต้าได้แก่ 1.NETA V จำนวน 4,578 คัน 2. NETA V-II จำนวน 2,009 คัน 3. NETA Xจำนวน 1,382 คัน
CHANGAN
ฉางอาน ทำยอดขาย ได้เป็นอันดับ 4 ของตลาด จำนวน 5,902 คัน สามารถครองส่วนแบ่งตลาด 8.6% ฉางอาน นั้นรวมยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า 2 แบรนด์ในตลาดคือ DEEPAL กับ LUMIN เข้าด้วยกัน รถที่ได้รับความนิยมมากสุดคือ DEEPAL S07 รถครอสโอเวอร์ ขนาดใหญ่ ราคา 1.39 ล้านบาท สำหรับ 3 อันดับ รุ่นยอดนิยมได้แก่ 1. DEEPAL S07 จำนวน 4,806 คัน 2.DEEPAL L07 จำนวน 707 คัน และ3.LUMIN L DC รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก จำนวน 226 คัน
AION
ไอออน ทำยอดขายเป็นอันดับ 5 ของตลาดมียอดจดทะเบียน 5,184 คัน ครองตลาด 7.5% รถยอดนิยมได้แก่ AION Y PLUS ที่มียอดขาย 3,873 อันดับ2 ได้แก่ AION ES จำนวน 1,088 ซึ่ง ยอดขายนี้ได้จากตลาดรถแทกซี่และรถนั่งเชิงพาณิชย์เป็นตลาดหลัก ส่วนแบรนด์ HYPTEC ที่มีเอกลักษ์ ประตูปีกนกทำยอดได้ 222 คัน ส่วนรถซูเปอร์คาร์ไฟฟ้า HYPTEC SSR มียอดจดทะเบียนเพียง 1 คัน
แบรนด์ญี่ปุ่นชะงัก
แม้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าไทยจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดในสองสามปีที่ผ่านมาแต่แบรนด์รถยนต์ส่วนใหญ่ของญี่ปุ่นอย่าง โตโยต้า ฮอนด้า และ นิสสัน กลับยังไม่สามารถครองใจผู้บริโภคได้โดยในปี2567 ที่ผ่านมา โตโยต้า กลับมามีรายงานการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น BZ4X จำนวน 66 คัน หลังจากที่หยุดหายไปเมื่อปีที่แล้ว ส่วนค่ายฮอนด้า ส่งมอบรถไฟฟ้า e:N1 จำนวน 265 คัน โดยในจำนวนนี้ เป็นการผู้นำรถของผู้เข้ารายอิสระ ในรถรุ่น E จำนวน 1 คันและรุ่น E ADVANCE จำนวน 1 คัน ก่อนหน้านี้ฮอนด้า เปิดสายการผลิต e:N1 ในไทยแต่ล่าสุดมีรายงานว่า ฮอนด้ายุติการผลิตและหันไปนำเข้ารถยนต์ดังกล่าวจากประเทศจีนแทน ส่วนนิสสันทำการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้า LEAF จำนวน 14 คันเท่านั้น
ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าพรีเมี่ยมดุเดือด
ทิศทางของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าพรีเมียมเริ่มดุเดือดขึ้นโดย ยังคงเป็นการขับเคลื่อนระหว่างรถจาก BMW,MERCEDES BENZและ TESLA โดยเป็นการแข่งกันระหว่าง แบรนด์ยุโรปและแบรนด์อเมริกา ซึ่ง Tesla ผู้สร้างชื่อเสียงในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมจากฝั่งอเมริกา BMW พยายามเร่งเครื่อง ตลาดไฟฟ้ารถยนต์พรีเมียมแต่ TESLA เองก็ทำยอดติดอันดับ 6 ของตลาดไทย ในขณะที่ BMW ยังคงถูกทิ้งห่าง โดย BMW มียอดจำหน่าย รวม1,485 คัน ครองส่วนแบ่งตลาด 2.2% และเมอร์เซเดส-เบนซ์ทำยอดขาย 221 คัน ซึ่งอยู่ในอันดับ 9 และ16 ตามลำดับส่วนAUDI มียอดขายเพียง 43 คันครองอันดับที่ 23จากยอดจดทะเบียนของรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดในตลาดรวม 31 ยี่ห้อ ในขณะที่ยอดขายของ TESLA สามารถทำยอดขายได้เป็นอันดับ ที่ 6 ของตลาด มียอดรวม 4,120 คัน ครองตลาด 6% โดยรถรุ่นย่อยยอดนิยม 3อันดับแรกของ TESLA คือ 1.Model 3 Rear-Wheel Drive จำนวน 1645 คัน 2. Model 3 Long Range จำนวน 1,072 คัน 3.Model Y Rear-Wheel Driveจำนวน 394 คัน