ย้อนดูประวัติศาสตร์ของฮอนด้าในประเทศไทย จะพบว่าน้อยครั้งมากที่ฮอนด้าจะทำตลาดรถรุ่นพิเศษ ยกเว้นในสองช่วงคือ ช่วงรัฐบาลสมัยนายอานันท์ ปันยารชุน ที่ได้ลดภาษีนำเข้ารถยนต์ในปี 2534 และช่วงน้ำท่วมใหญ่โรงงานฮอนด้าโรจนะในปี 2554 ซึ่งทำให้ชิ้นส่วนขาดแคลนและไม่สามารถผลิตรถได้ ต้องนำเข้ารถจากญี่ปุ่นมาขายแทน เหตุผลที่ฮอนด้าไม่จำหน่ายรถรุ่นใหม่ๆ แปลกๆ น่าจะเป็นเพราะฮอนด้าพอใจผลกำไรจากสินค้าหลักๆ อย่างรถเก๋งเล็กอย่างรุ่นซิตี้ รถเก๋งกลางอย่างรุ่นซีวิค และรถเอสยูวีขนาดกลางอย่างรุ่นซีอาร์-วี ซึ่งฮอนด้าเป็นผู้นำตลาดอยู่
รถรุ่นพิเศษที่ฮอนด้าเคยทำตลาดในประเทศไทยในอดีต ล้วนกลายเป็นของหายากที่นักสะสมซื้อมาสะสม เช่น อินเทกรา, NSX, และพรีลูด อย่างไรก็ตามปัจจุบันมีรถรุ่นหนึ่งที่แฟนคลับฮอนด้าไม่คาดคิดว่าจะได้ซื้อนั่นคือ ซีวิค ไทป์ อาร์ (Civic Type R) ซึ่งเป็นรถเอฟเอฟที่เร็วที่สุด (FF - front engine/front-wheel-drive)
บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวซีวิค Type R ครั้งแรกในงานมหกรรมยานยนต์ปี 2565 (Motor Expo 2022) ซึ่งตอนนั้นยังไม่ประกาศราคา ต่อมาได้นำรถมาแสดงอีกครั้งในงาน Motor Show 2023 และเปิดราคาจำหน่ายที่ 3.99 ล้านบาท โดยรับจองผ่านออนไลน์ที่ www.honda.co.th ฮอนด้า ซีวิค Type R เริ่มส่งมอบให้กับลูกค้าในเดือนเมษายน 2567 ที่ผ่านมา
คุณค่าที่ Type R นำเสนอคือการรวมความเร็ว ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของรถสปอร์ตและความพึงพอใจในการขับขี่ที่สามารถดึงดูดอารมณ์ของผู้ขับขี่ บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด ได้จัดงานเปิดตัวซีวิค Type R รอบปฐมทัศน์โลกเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2565 และเริ่มจำหน่ายในญี่ปุ่นในเดือนกันยายน 2565
อากาศพลศาสตร์ทรงพลัง
"อัลติเมท สปอร์ต 2.0" คือคอมเซ็ปของการพัฒนาทุกแง่มุมของ Type R โดยมีการปรับปรุงสมรรถนะตามหลักอากาศพลศาสตร์และเพิ่มแรงกด ที่เกิดขึ้นจาก เส้นสายที่โฉบเฉี่ยวและมีสไตล์ของฮอนด้า ซีวิค ใหม่ Type R นำเสนอท่วงท่าที่ดุดันยิ่งขึ้นและรูปลักษณ์บนท้องถนนที่มากขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงธรรมชาติของรถที่รวดเร็ว ไดนามิก อย่างสมบูรณ์แบบ
เทียบกับCivic e:HEV ที่ขายในตลาดบ้านเรา Type R นั้นเตี้ยกว่า 8 มม. และกว้างกว่า 90 มม. และต่ำกว่า 13 มม. และกว้างกว่า Civic Type R รุ่นก่อนหน้า 15มม. รูปลักษณ์ที่ต่ำและบึกบึนนั้นเกิดจาก ซุ้มล้อที่ออกแบบ มัดกล้ามยื่นออกมาเหนือ ขอบล้อหลัง
การออกแบบเพื่อพัฒนอากาศพลศาสตร์ ๆ เช่น บังโคลนหน้าซึ่งมีท่อขนาดใหญ่ ช่วยลดแรงกดดันภายในซุ้มล้อ การไหลเวียนของอากาศที่เล็ดลอดออกจากท่อเหล่านี้จะถูกนำทางไปตามความยาวของตัวรถและกาบบันไดด้านข้าง ก่อนที่จะถูกนำออกจากโครงล้อหลังและส่วนที่ยื่นออกไปโดยสปอยเลอร์ขนาดเล็กที่ปลายกาบบันได ส่วนโค้งด้านหลังที่กว้างขึ้น รวมเข้ากับตัวถัง พื้นผิวที่เรียบเนียน ยิ่งขึ้น โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนของอากาศด้านหลัง รูปร่างโค้งช่วยขจัดความผันผวนของแรงดันรอบประตูด้านหลัง ฮอนด้าพัฒนา ดิฟฟิวเซอร์ และสปอยเลอร์หลัง เพื่อการไหลเวียนของอากาศที่ดียิ่งขึ้น
กระจังหน้าด้านล่างได้รับการขยายความกว้างและความสูงเพื่อรองรับอินเตอร์คูลเลอร์ ลูกใหญ่ เพิ่มการไหลเวียนของอากาศ ไปยังตัวรถและเบรกหน้า กันชนหน้ามีช่องรับอากาศ ใหญ่กว่ารุ่นก่อนถึง 10% ส่งผลให้ Type R ไม่มีที่ติดตั้งไฟตัดหมอก แต่โดยแทนที่ด้วยช่องรับอากาศแนวตั้ง มีสไตล์ ซึ่งช่วยเน้นความกว้างของรถและป้อนอากาศไปยังเบรกหน้าและช่วยในการจัดการระบายความร้อนของเครื่องยนต์ VTEC Turbo ขนาด 2.0 ลิตร ส่วนฝากระโปรงหน้าทำจากอะลูมิเนียมมีช่องระบายอากาศ ซึ่งทำงานร่วมกับด้านล่างของกระจังหน้าขนาดใหญ่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนของอากาศ
ด้านหลัง การออกแบบดิฟฟิวเซอร์ใหม่ทำงานร่วมกับสปอยเลอร์ เพิ่มแรงกดในขณะที่ช่วยลดแรงต้านของอากาศ สปอยเลอร์หลังมีความกว้างและต่ำกว่ารุ่นก่อน ติดตั้งเข้ากับขา อะลูมิเนียมหล่อขึ้นรูป ช่วยเน้นเส้นสายหลังคา ให้ดูโฉบเฉี่ยว การวางตำแหน่งของ สปอยเลอร์ได้รับการปรับให้เหมาะสม เพิ่มแรงกดที่เกิดขึ้นและลดการต้านอากาศโดยรวม น ตำแหน่งของสปอยเลอร์ อยู่ในแนวเดียวกับขอบหน้าต่างด้านหลัง ทำให้เพิ่มทัศนวิศัยได้มากขึ้น
การออกแบบล้ออัลลอยด์น้ำหนักเบาขนาด 19 นิ้ว ได้รับการปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด ยางมิชลิน 265/30R19 วิวัฒนาการด้านการออกแบบของล้อ ช่วยปรับปรุงการควบคุม โดยรักษาแรงกดสัมผัสของไหล่ด้านในของยางให้คงที่เมื่อเข้าโค้ง เมื่อมองจากภายนอกแล้วยัง ยังให้รู้สึกว่า รูปลักษณ์ของล้อ มีเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่ขึ้นอีกด้วยชิ้นส่วนทั้งหมดที่ตกแต่ง ใช้สีดำเงาวาวรวมถึงกระจังหน้า ดิฟฟิวเซอร์ด้านหลัง และส่วนกลางของสปอยเลอร์หลัง เน้นย้ำถึงสมรรถนะของรถ ตัวรถมีสี ให้เลือกหลากหลาย ซึ่งล้วนเป็นสีที่ได้ มรดกจาก รถแข่งเช่นChampionship White ที่โดดเด่น นอกเหนือจาก Rallye Red Metallic และ Racing Blue, Crystal Black และ Sonic Grey Pearls
ภายในของฮอนด้า ซีวิค Type R ถูกออกแบบเพื่อเพิ่มความเร้าใจในการขับขี่ตั้งแต่วินาทีแรกที่เปิดประตู แม้จะเน้นการใช้งานสำหรับแข่งรถ แต่ Type R ยังคงไว้ซึ่งความสะดวกสบายและการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นจุดเด่นของซีวิครุ่นมาตรฐาน ตำแหน่งที่นั่งของคนขับจะต่ำกว่าซีวิครุ่นมาตรฐาน 8 มม. เพื่อเพิ่มความรู้สึกแบบรถสปอร์ต
เบาะนั่งสปอร์ตด้านหน้าน้ำหนักเบา ออกแบบใหม่ ช่วยยึดผู้ขับขี่ไว้อย่างแน่นหนา เพื่อรองรับโครงสร้างท่าทาง และรับประกันความสบายและความคล่องตัว ไม่ว่าจะขับขี่บนเส้นทางจำกัดหรือขับขี่บนถนนระยะไกล ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถค้นหาตำแหน่งการขับขี่ที่เป็นธรรมชาติได้อย่างง่ายดาย และให้ความรู้สึกเชื่อมต่อกับรถโดยตรงเมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็ว ห้องโดยสารทั้งหมดถูกออกแบบเพื่อให้ผู้ขับขี่มีสมาธิในระดับสูงในระหว่างการขับขี่ที่เข้มข้นส่วนควบคุมที่จำเป็นทั้งหมดอยู่ในตำแหน่งที่เข้าถึงได้ง่าย โดยจอแสดงข้อมูลหลักจะอยู่ตรงกลางที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้ผู้ขับสามารถรักษาสมาธิไว้บนถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แม้ว่าตำแหน่งการนั่งขับขี่จะต่ำ แต่ทัศนวิสัยจากที่นั่งคนขับก็ดีขึ้นกว่า Type R รุ่นก่อน มีเส้นการมองเห็นที่ชัดเจนที่มุมด้านหน้าของฝากระโปรง ในขณะที่จุดบอดรอบฐานของเสา A และกระจกมองข้างก็ลดลง ช่วยเหลือผู้ขับขี่ทั้งบนสนามแข่งและบนถนนเบาะนั่งด้านหน้าใช้วัสดุหุ้มคล้ายหนังกลับ แบบใหม่ สัมผัสกระชับมือมากขึ้น ขณะที่เบาะหลังใช้วัสดุเดียวกันแต่ใช้สีดำตัดกันพร้อมเดินด้ายสีแดงพรมภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยสีแดงที่เข้ากัน ให้ความรู้สึกเร้าใจเหมือนรุ่น Type R รุ่นก่อนๆ การตกแต่งระดับไฮเอนด์ ในห้องโดยสาร เช่น คอนโซลอะลูมิเนียมแท้ และช่องระบายอากาศแบบโพลาไรซ์ gun metal ซึ่งไม่เพียงแต่เพิ่มความรู้สึกระดับพรีเมียมเท่านั้น แต่ยังช่วยลดแสงสะท้อนอีกด้วย
จอแสดงผลมาตรวัดแบบดิจิตอลทั้งหมดของรถยนต์มาตรฐาน ได้รับการปรับปรุงสำหรับ Type R โดยยังคงรักษาการแสดงผลมาตรวัดแบบสองมาตรวัด ที่เรียบง่ายและสะอาดตาสำหรับโหมดการขับขี่แบบ Comfort และ Sport การสลับไปใช้โหมด +R จะต้องใช้ชุดกราฟิกที่ออกแบบเป็นพิเศษ ซึ่งจะแสดงเฉพาะข้อมูลสำคัญสำหรับการขับขี่ในสนามแข่ง เช่น ตัวนับความเร็วรอบแบบดิจิทัลขนาดเต็มความกว้างวางอยู่บนจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ในสนาม รวมถึงอุณหภูมิที่สำคัญ ตัวจับเวลาต่อรอบ และมาตรวัดแรงจี โหมดส่วนบุคคลที่ใส่เข้ามา ใหม่ช่วยให้ผู้ใช้ปรับแต่งรูปแบบการแสดงผลที่ต้องการได้
ที่สุดของ VTEC Turbo เท่าที่เคยมีมา
นับตั้งแต่เจเนอเรชั่นแรกที่เปิดตัวในปี 1997 Civic Type R มีชื่อเสียงในด้านเครื่องยนต์ที่ทรงพลัง ตอบสนอง และรอบสูงทำให้ได้รับความนิยมในหมู่ มาเป็นเวลากว่า 25 ปี Civic Type R ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จ 4 สูบ VTEC ขนาด 2.0 ลิตร 320 แรงม้า มีการนำเทคโนโลยีมาจากมอเตอร์สปอร์ตมาประยุกต์ใช้หลายอย่าง
ทีมพัฒนาได้ออกแบบเทอร์โบชาร์จ ใหม่เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ด้วยการลดจำนวนใบพัดเทอร์โบและปรับรูปร่างและเส้นผ่านศูนย์กลางให้เหมาะสม เสื้อเทอร์โบ ออกแบบใหม่มีขนาดเล็กลงและกะทัดรัดกว่ารุ่นก่อน ช่วยให้เทอร์โบชาร์จมีกำลังและการตอบสนองที่สูงขึ้นอีกด้วย ระบบไอเสียแบบตรงจะเพิ่มอัตราการไหลของอากาศเสียมากกว่ารุ่นก่อนหน้า 13% ลดแรงดันต้านและช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
รถใหม่มีการควบคุมอุณหภูมิที่ดีขึ้น จากการออกแบบกระจังหน้าและกันชนหน้าใหม่ ทางเข้าอากาศ ได้รับการแก้ไขให้มีเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่ขึ้น ทำให้อัตราการไหลของอากาศเข้าเพิ่มขึ้น 10%
ระบบควบคุมเครื่องยนต์ได้รับการอัพเดตโดยการเพิ่มความละเอียดของการควบคุมจังหวะการจุดระเบิดและการปรับแต่ง VTC (Variable Timing Control) เพิ่มเติม เพื่อปรับปรุงการตอบสนองของปีกผีเสื้อโดยรวมภายใต้การเร่งความเร็ว
เครื่องยนต์ ในสเปคไทย ให้กำลัง 320 PS @ 6,500 rpm แรงบิดที่ 420 Nm ใช้งานได้ที่ 2,600-4000 rpmรอบเรดไลน์ ทำได้ถึง 7,000 rpm เร่งความเร็วจาก 0 - 100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 5.4 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 275 กม./ชม.
ระบบเกียร์ธรรมดา 6 สปีดที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ซึ่งมีคุณสมบัติใหม่ๆ มากมายโดยเฉพาะ ซึ่งช่วยเพิ่มความนุ่มนวลและภาระในการเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างมาก
ระบบ Rev-Match และ Auto Blip ได้รับการปรับปรุงใหม่เพื่อให้การจับคู่ Rev-Match เป็นไปอย่างเสถียรเมื่อลดเกียร์ลง โดยเฉพาะการเปลี่ยนเกียร์จาก 2 ลง 1 โดยมีการเชื่อมโยงการทำงานที่เพิ่มความสมบูรณ์แม้ว่าจะเป็นรถที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่วิศวกรของฮอนด้าบอกว่า การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 186 กรัม/กม. และมีอัตราการใช้ น้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 8.2 ลิตร/100 กม. (WLTP)
มิชลิน พันธมิตรพัฒนายางสูตรพิเศษ
เพื่อเพิ่มขีดจำกัดการควบคุมของรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์วางหน้าและขับเคลื่อนล้อหน้าสมรรถนะสูง ฮอนด้าและมิชลิน ได้ร่วมกันพัฒนาคอมปาวด์(เนื้อยาง)พิเศษเพื่อรับมือกับภาระหนัก สิ่งสำคัญคือต้องแน่ใจว่าสมรรถนะของยางคงที่ในช่วงทำงานหนัก และสามารถรับการถ่ายโอนน้ำหนักของ Type R ได้ โดยใช้ล้อ ล้ออัลลอยสีดำด้าน ขนาด 19 นิ้ว ล้อ น้ำหนักเบา และเพิ่มความแข็งแกร่งขนาดยาง 265/30R/19 มิชลิน Pilot Sport 4S ที่ฮอนด้าร่วมกับมิชลินสั่งออกแบบมาเป็นพิเศษ สำหรับลายดอกยาง แต่ละบล็อกใช้วิธีการผลิต C3M ที่เป็นเอกสิทธิ์ของมิชลิน ทำให้การยึดเกาะถนนแห้งมีประสิทธิภาพ โดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานบนพื้นเปียกหรือการสึกหรอ
Honda Log R 2.0:ตรวจข้อมูลการขับเรียลไทม์
ในการพัฒนา Civic Type R ใหม่ วิศวกรของฮอนด้าตั้งใจที่จะให้ข้อมูลมากมายแก่ผู้ขับขี่ นำเสนอในรูปแบบที่ตีความได้ง่าย เพื่อช่วยปรับปรุงและปรับปรุงทักษะการขับขี่ทั้งบนถนนและในสนามแข่งในท้ายที่สุด สิ่งนี้อยู่ในรูปแบบของแอพ Honda Log R 2.0 หรือ ระบบวิเคราะห์ข้อมูล ใช้ข้อมูลจากเซ็นเซอร์ภายในของรถยนต์หลายจุด แอพนี้มีฟังก์ชั่นการตรวจสอบประสิทธิภาพ และฟังก์ชั่นการให้คะแนน
ผู้ขับสามารถเลือกข้อมูล 12 รายการแยกกัน เช่นอุณหภูมิของเครื่องยนต์ น้ำ และน้ำมัน ตลอดจนมุมบังคับเลี้ยว แรงดันเบรก มุมของแป้นคันเร่ง จอแสดงผลยังแสดงการทำงานของผู้ขับและพฤติกรรมได้อีกด้วย
หนึ่งในฟังก์ชันใหม่ คือวงกลมแรงเสียดทานของยางแบบดิจิทัล ซึ่งจะคำนวณและแสดงแรงเสียดทานของยางสูงสุด ทั้งสี่เส้น แสดงผลแบบเรียลไทม์บนจอแสดงผล
ฟังก์ชั่นการให้คะแนนช่วยให้ผู้ขับ สามารถตรวจสอบการขับขี่เพื่อช่วยพัฒนาทักษะหลังพวงมาลัย ฟังก์ชันนี้สามารถ ให้คะแนนอัตโนมัติและบันทึกข้อมูล Auto Score ซึ่งจะประเมินสมรรถนะการขับขี่ โดยData Log จะบันทึกข้อมูล การเร่งความเร็ว การเบรก และการเข้าโค้งข้อมูลแรง G ทำงานร่วมกับแผนที่ GPS เพื่อให้ภาพรวมของการวิ่งแต่ละรอบในสนามเพื่อ ให้ผู้ขับ จดจำและปรับปรุงจุดเบรกและตำแหน่งคันเร่ง ทุกจุดของสนามแข่งได้ ระบบ GPS ยังสามารถใช้เพื่อตั้งค่า สตาร์ทและเส้นชัย ตามกำหนดเวลาแต่ละรอบสนาม โดยข้อมูลทั้งหมดจะถูกบันทึกไว้และแสดงการ เปรียบเทียบกับรอบก่อนหน้า ช้ฟังก์ชันคะแนนอัตโนมัติและข้อมูล จะถูกอัปโหลดไปยังเซิร์ฟเวอร์โดยอัตโนมัติ สามารถดูได้ทุกที่ทุกเวลาโดยใช้แอป Honda Log R 2.0 ที่ติดตั้งบนสมาร์ทโฟน คุณสมบัติใหม่อีกอย่างหนึ่งของแอพ Honda Log R 2.0 คือสามารถแปลงฟังก์ชั่นวิดีโอของสมาร์ทโฟนให้เป็นกล้องออนบอร์ด พร้อมข้อมูลต่างๆ
ประสบการณ์ที่ปรับแต่งได้
เพื่อให้ได้รับประสบการณ์สุดยอดของ Civic Type R สำหรับผู้ขับขี่ทุกคน ฮอนด้าได้ขยายขอบเขตการควบคุมเหนือคุณลักษณะด้านสมรรถนะของรถ เข้าถึงได้ผ่านการสลับ 'โหมดการขับขี่' โดยเฉพาะซึ่งวางอยู่ข้างคันเกียร์ ผู้ใช้สามารถเลือกจากการตั้งค่าสมรรถนะที่ตั้งไว้ล่วงหน้าสามแบบ ได้แก่ ความสะดวกสบาย แบบสปอร์ต และแบบเฉพาะบุคคล เพื่อปรับเปลี่ยนคุณลักษณะของเครื่องยนต์ การบังคับเลี้ยว ระบบกันสะเทือน เสียงเครื่องยนต์ การจับคู่ความเร็วรอบ และสมรรถนะ เมตร. ปุ่มเฉพาะสำหรับโหมด +R อยู่เหนือปุ่มสลับแต่ละโหมดได้รับการปรับแต่งให้เหมาะกับลักษณะที่แตกต่างกันของรถ รวมถึงแดมเปอร์แบบปรับได้ น้ำหนักพวงมาลัย และการตอบสนองของคันเร่ง เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์รถจะสตาร์ทในโหมดล่าสุดที่ใช้เป็นการตั้งค่าเริ่มต้น
โหมดการขับ
ฮอนด้า ซีวิค ไทป์ อาร์ มาพร้อมโหมดการขับขี่หลากหลายรูปแบบ ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ ดังนี้
โหมด Comfort:
เหมาะสำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน
ระบบกันสะเทือนที่นุ่มนวล
ควบคุมพวงมาลัยง่าย
เหมาะสำหรับถนนขรุขระ
ขับขี่บนทางด่วนเป็นเวลานาน
โหมด Sport:
ตอบสนองฉับไว
ควบคุมได้แม่นยำ
เพิ่มความสนุกสนานในการขับขี่
โดยไม่ลดทอนความนุ่มนวล
โหมด +R:
เน้นประสิทธิภาพสูงสุด
เหมาะสำหรับการใช้งานในสนามแข่ง
คันเร่งตอบสนองรวดเร็ว
ควบคุมการขับขี่แบบสปอร์ต
ปรับแต่งระบบกันสะเทือนแบบ Adaptive Damper System
ปิดระบบควบคุมการยึดเกาะถนนและระบบช่วยควบคุมการทรงตัว (VSA) ได้ 100%
โหมด Individual (ใหม่):
ปรับแต่งการขับขี่ตามต้องการ
เลือกได้ตามสไตล์และสภาพแวดล้อมการขับขี่
เข้าถึงโหมดนี้ผ่านสวิตช์โยก
ปรับแต่งคันเร่ง พวงมาลัย ระบบกันสะเทือน เสียงเครื่องยนต์
บันทึกการตั้งค่าไว้ใช้งานในอนาคต
ระบบความปลอดภัย
ซีวิคไทป์อารื มาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ทำงานผ่านกล้องมุมมองกว้างด้านหน้า ช่วยตรวจจับรถยนต์ คนเดินถนน จักรยาน และจักรยานยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาเทคโนโลยีด้านการขับขี่และความปลอดภัยที่ ติตดั้งมาได้แก่
- กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-Angle Rearview Camera) ที่มีการพัฒนาคุณภาพของกล้องให้มีความละเอียดสูงขึ้น
- ถุงลมคู่หน้า
- ถุงลมด้านข้างคู่หน้า
- ม่านถุงลมด้านข้าง
- ถุงลมหัวเข่าคู่หน้า
- ระบบล็อกประตูรถอัตโนมัติ (Auto Door Lock by Speed)
- ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock)
- ระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหน้า
- ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) พร้อมระบบกระจายแรงเบรก (EBD)
- เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับอัตโนมัติ
- เข็มขัดนิรภัยด้านหน้า แบบ 3 จุด 2 ตำแหน่ง ปรับสูง-ต่ำได้
- เข็มขัดนิรภัยด้านหลังแบบ 3 จุด 2 ตำแหน่ง
- ระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer พร้อมระบบสัญญาณกันขโมย
- ไฟเตือนเบาะนั่งด้านหลัง (Rear Seat Reminder)
- ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (VSA)
- สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS)
- ระบบช่วยเตือนความเมี่ยล้าขณะขับ
- เซ็นเซอร์กะระยะหน้า4จุดหลัง4จุด
- อุปกรณ์อุดการรั่วซึมของยางชั่วคราว
ราคา แรงแต่ไม่แพงสำหรับคนชอบ
ในกลุ่มรถยนต์ที่ฮอนด้า ประเทศไทย จัดจำหน่าย มีรถราคาถูกสุดหรือคันเริ่มต้น คือ ฮอนด้า ซิตี้ CITY S ราคา 599,000.00 บาท และCITY HATCHBACK S+ ราคาเดียวกันคือ 599,000.00 บาทส่วนรถที่มีราคาสูงสุดมในไลน์ของฮอนด้า คือ แอคคอร์ด e:HEV RS ราคา 1,799,000.00 บาท ส่วนไทป์ อาร์ คันนี้ ตั้งราคาไว้ 3.99ล้านบาท สำหรับท่านที่ต้องการเข้าถึง จิตวิญญาณของความเร็ว ความสนุกในการควบคุม ต้องเลือกคันนี้ โดยที่ไม่ต้องไปสนเรื่องราคา