ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ยกเลิกเป้าหมายรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ในวันแรกที่เขากลับมาเข้ารับตำแหน่ง โดยได้รับการสนับสนุนจากอีลอน มัสก์ CEO ของเทสลา ทรัมป์ได้ยกเลิกเป้าหมายของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่ตั้งเป้าว่า ภายในปี 2030 ครึ่งหนึ่งของการขายรถใหม่ในสหรัฐฯ จะต้องเป็นรถที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ไฟฟ้า ซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับประกาศนี้ในปี 2021 ได้ถูกลบออกจากเว็บไซต์ทางการของทำเนียบขาวแล้ว
การตัดสินใจนี้ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลก เนื่องจากการส่งออกของรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และขณะที่แบรนด์รถยนต์จากสหรัฐฯ และยุโรปกำลังตัดสินใจเกี่ยวกับกลยุทธ์ในระยะยาว และจำนวนของรุ่นรถที่จะทำเป็นรถไฟฟ้า ทรัมป์ยังกล่าวว่า เขากำลังพิจารณาที่จะยุติการให้เครดิตภาษีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งมีมูลค่าสูงสุดถึง 7,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคัน และจะระงับการแจกจ่ายเงินจากกองทุน 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับการพัฒนาสาธารณูปโภคสำหรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐฯ
ก่อนการเลือกตั้งในปี 2024 ทรัมป์ได้กล่าวแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าว่าเหมือนจะเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมแต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ทางด้าน อีลอน มัสก์ไม่ได้โพสต์ความคิดเห็นเกี่ยวกับการยกเลิกเป้าหมายในปี 2030 แต่เขาอาจจะเห็นด้วยกับการยกเลิกคำสั่งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้กับคู่แข่ง เช่น GM, Ford และ Stellantis ซึ่งเป็นเจ้าของ Chrysler เพื่อให้สามารถตามทันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าได้
ในปี 2024 มีการขายรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด 1.3 ล้านคันในสหรัฐฯ ซึ่งแสดงถึงการเติบโตปีต่อปีที่ 7.3% โดยที่ Tesla Model Y เป็นผู้นำ ตามด้วย Tesla Model 3 และ Ford Mustang Mach-E แม้ว่าจะยังคงเป็นแบรนด์ที่มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุด แต่ส่วนแบ่งการตลาดของเทสลาในสหรัฐฯ ลดลง 49% ในปี 2024 โดยลดลง 6% ซึ่งเป็นแนวโน้มที่พบเห็นได้ในหลายประเทศรวมถึงออสเตรเลีย ซึ่งยอดขายของเทสลาลดลงไปอีก 17% เทสลายังมียอดขายลดลงทั่วโลกในปี 2024 ทำให้เกิดการลดลงในการขายประจำปีเป็นครั้งแรก หลังจากพลาดการคาดการณ์การเติบโตที่เคยคาดไว้
General Motors และ Ford ต่างทำสถิติยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2024 ในขณะที่ Stellantis ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการปรับโครงสร้างองค์กร รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในระดับผู้นำทั้งในสหรัฐฯ และระดับโลก อย่างไรก็ตาม ยอดขายรถที่เพิ่มขึ้มากที่สุดในสหรัฐฯ คือรถยนต์ไฮบริด ซึ่งเทสล่าไม่ได้แข่งขันในตลาดนี้ โดยมียอดขาย 1.9 ล้านคัน เทียบกับ 1.2 ล้านคันในปี 2023
รถยนต์ไฟฟ้าไม่ใช่พลังงานทางเลือกเดียวที่ทรัมป์คาดว่าจะทำการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมยานยนต์ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่เกิดขึ้นระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ ก่อนหน้า
ทรัมป์เคยถอนสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงปารีสในปี 2015 ซึ่งมีเป้าหมายการลดการปล่อยมลพิษจากคาร์บอน ซึ่งก่อให้เกิดการผลักดันรถยนต์ไฟฟ้า ในขณะที่ไบเดนได้ทำให้สหรัฐฯ กลับเข้าไปในข้อตกลงปารีสอีกครั้ง แต่รัฐบาลทรัมป์ใหม่ยังได้ลงนามในคำสั่งวันแรกเพื่อถอนสหรัฐฯ ออกครั้งที่สอง
ออสเตรเลียเป็นหนึ่งในประเทศที่ลงนามในข้อตกลงปารีส ซึ่งเป็นก้าวสำคัญไปสู่การเป็นประเทศที่เป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 รวมถึงมาตรฐานการปล่อยมลพิษของรถยนต์ใหม่ที่เริ่มใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2025 ไบเดนยังได้ผลักดันมาตรฐานการปล่อยมลพิษใหม่ ซึ่งผ่านการพิจารณาในปี 2024 หลังจากมีการเจรจากับผู้ผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯ
ทรัมป์ยังได้สัญญาว่าจะเก็บภาษีรถยนต์จากประเทศจีนที่ประกอบนอกสหรัฐ ด้วยอัตราภาษีที่มาก กว่าจำนวนที่รัฐบาลไบเดนได้กำหนดเอาไว้ที่ 102% นโยบายนี้เป็นคำสั่งวันแรกจากประธานาธิบดีที่กล่าวว่า: “ผมกำลังสร้างนโยบายการค้าที่ยั่งยืนและฟื้นฟู ที่ส่งเสริมการลงทุนและการผลิต เสริมสร้างข้อได้เปรียบทางอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีของประเทศเรา ปกป้องความมั่นคงทางเศรษฐกิจและชาติ และที่สำคัญที่สุดเป็นประโยชน์ต่อคนงาน ชาวอเมริกัน ผู้ผลิต เกษตรกร เจ้าของฟาร์ม ผู้ประกอบการ และธุรกิจในสหรัฐฯ”
ที่มา: Drive.com