All New Mini Countryman เปิดตัวเจเนอเรชั่นที่ 3 ในงาน IAA Mobility Show เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมัน มาพร้อมมิติตัวถังที่ใหญ่ขึ้น มาพร้อมขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งแบบมอเตอร์เดี่ยวและมอเตอร์คู่ และยังมีเวอร์ชั่นเครื่องยนต์ดีเซลและเบนซินให้เลือก แม้จะมีตัวถังที่ใหญ่ขึ้น แต่รุ่นใหม่กลับมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานเพียง 0.26 cd สำหรับรุ่นขุมพลังไฟฟ้า เมื่อเทียบกับรุ่นเก่าตัวเลขอยู่ที่ 0.31 cd
MINI Countryman นับเป็นรถรุ่นแรกที่ออกแบบภายใต้แนวคิดใหม่ที่เรียกว่า Charismatic Simplicity โดยมีเส้นโค้งน้อยลงและเส้นสายที่คมชัดยิ่งขึ้นบนตัวถัง กระจังหน้าใหม่เป็นกระจังหน้าทรงแปดเหลี่ยมที่ใหญ่ขึ้น แม้ว่ากระจังหน้าส่วนใหญ่จะเป็นสีเดียวกับตัวรถก็ตาม ไฟหน้า LED ที่เล็กลงถูกวางตำแหน่งให้สูงขึ้นกว่าเดิม มาพร้อมกับล้อแม็กขนาด 20 นิ้ว ด้านท้ายติดตั้งไฟท้ายแบบ Matrix LED พร้อมเอกลักษณ์ Union Jack และสปอยเลอร์หลังก็โดดเด่นยิ่งขึ้น
ภายในถูกออกแบบให้สบายตาเรียบและลดปุ่มควบคุม ผิววัสดุตกแต่งเป็นผ้าทอ มาพร้อมจอแสดงผล OLED แบบวงกลมขนาด 9.4 นิ้วที่ติดตั้งไว้ตรงกลางพร้อมขอบจอบางๆ รองรับระบบสัมผัส ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Mini 9 ผสานกับรถบบ AI ชื่อ Spike และสามารถกำหนดค่าได้ด้วยโหมดการใช้งานที่มีอยู่ 8 โหมด แม้ว่าจะไม่มีหน้าจอด้านหลังพวงมาลัย แต่ Mini ก็มีการแสดงข้อมูลการขับผ่านกาแสดงผลบนกระจกบานหน้า
MINI Countryman เวอร์ชั่นไฟฟ้า ถูกเลือกนำมาเปิดตัวก่อนขุมพลังเบนซินและดีเซล แบ่งการทำตลาดออกเป็น 2 รุ่นหลัก ดังนี้
รุ่น E FWD กำลังมอเตอร์ 201 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง 8.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 170 กิโลเมตร/ชั่วโมง แบตเตอรี่ขนาด 64.7 กิโลวัตต์/ชั่วโมง ระยะทางต่อการชาร์จ 462 กิโลเมตร (WLTP)
รุ่น SE All4 AWD กำลังมอเตอร์ 308 แรงม้า แรงบิด 494 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง 5.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง แบตเตอรี่ขนาด 64.7 กิโลวัตต์/ชั่วโมง ระยะทางต่อการชาร์จ 462 กิโลเมตร (WLTP)
Mini มุ่งมั่นที่จะเป็นแบรนด์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเท่านั้นภายในปี 2030 แต่บริษัทก็ยืนยันว่า Countryman จะมีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล โดย Countryman C จะเป็นรุ่นเริ่มต้นที่ใช้น้ำมันเบนซิน FWD ร่วมกับ Countryman S ALL4 ที่ทรงพลังกว่า และ Countryman JCW จะเน้นด้านสมรรถนะ และรุ่นดีเซลจะประหยัดน้ำมัมากขึ้น